ยิ่งกิน ยิ่งฉลาด 5 กลุ่มอาหารบำรุงสมอง เสริม IQ ให้เด็กวัยอนุบาล

ยิ่งกิน ยิ่งฉลาด 5 กลุ่มอาหารบำรุงสมอง เสริม IQ ให้เด็กวัยอนุบาล

เมื่ออายุเข้า 3 ขวบ ก็ถึงเวลาที่ลูกต้องเข้าโรงเรียนอนุบาล เชื่อว่ามีหลายสิ่งที่คุณแม่ทั้งเป็นห่วงทั้งกังวลใจ ไหนจะสิ่งของที่ต้องเตรียมใส่กระเป๋านักเรียนให้ลูก ลูกของเราจะเข้ากับเพื่อนได้ไหม จะร้องไห้ไม่อยากไปโรงเรียนหรือเปล่า คุณแม่สามารถอ่านวิธีรับมือเมื่อลูกไม่อยากไปโรงเรียนได้ที่นี่ คลิก นอกจากความกังวลที่กล่าวมาแล้วนี้ เมื่อลูกเริ่มเข้าเรียนอนุบาล แม่อย่างเราควรเริ่มเสริมทักษะอะไรให้ลูกบ้าง อันดับแรกคือ EQ (Emotional Quotient) หรือความฉลาดทางอารมณ์ การที่ลูกเป็นเด็กอารมณ์ดี รู้จักควบคุมอารมณ์ มองโลกในแง่ดี จะทำให้เขาสามารถปรับตัวกับสภาพแวดล้อมใหม่ๆ ที่ต้องไปเจอได้ อีกทั้งควรเสริมทักษะ FQ (Financial Quotient) ความฉลาดในการจัดการการเงิน เพราะเมื่อลูกไปโรงเรียน เขาจะต้องหัดใช้เงินด้วยตัวเอง คุณแม่ควรปลูกฝังทักษะนี้ให้ติดตัวเขาไปด้วย และแน่นอนที่สุดคุณแม่ทุกคนต้องอยากให้ลูกเป็นเด็กฉลาด หัวไว จึงต้องเสริมทักษะ IQ (Intelligence Quotient) ความฉลาดด้านสติปัญญา IQ สำคัญมากๆกับเด็กวัยอนุบาลที่จะเริ่มเรียนหนังสือ ดังนั้น เรื่องของการเสริมสร้าง IQ ให้กับลูก เริ่มได้เร็ว มีชัยไปกว่าครึ่งนะคะคุณแม่ 

พญ.พรรณพิมล วิปุลากร ผู้อำนวยการสถาบันราชานุกูล กรมสุขภาพจิต ได้อธิบายไว้ว่า เด็กอายุ 3-4 ขวบ เป็นช่วงที่เหมาะสมที่สุดที่จะเริ่มพัฒนา IQ เพราะเขาจะมีความช่างสังเกตมากที่สุดในช่วงนี้ อีกทั้งเริ่มมีสมาธิจดจ่อกับสิ่งรอบตัว รวมถึงระบบความคิดที่พัฒนาไปอีกขั้น เริ่มคิดวิเคราะห์ คิดเชื่อมโยง คิดเป็นเหตุเป็นผลได้ดีนั่นเอง เราขอแนะนำวิธีง่ายๆ ที่คุณแม่จะช่วยเสริม IQ เสริมพัฒนาการให้ลูกน้อยได้ง่ายๆ เพียงดูแลสุขภาพกายและผิวแพ้ง่ายของเขาให้สะอาด ห่างไกลการระคายเคืองอยู่เสมอ เพราะถ้าลูกสุขภาพแข็งแรง สบายตัว วันนั้นเขาจะอารมณ์ดี พร้อมเล่นและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ซึ่งในมุมกลับกัน หากลูกรู้สึกไม่สบายตัว ไม่สบายผิว เขาจะหงุดหงิด งอแง ขาดสมาธิ ซึ่งอาจขัดต่อพัฒนาการของลูกได้ นอกจากนี้อีกวิธีง่ายๆ ที่คุณแม่ถนัดอยู่แล้วคือการทำอาหารให้ลูกกิน ควรเลือกโภชนาการที่ช่วยอัปพลังสมองให้ลูกน้อยวัยอนุบาล แล้วให้ลูกกินอะไรถึง IQ ดี สมองแล่นกันนะ มาอ่านกันเลย

 

อาหารเสริม IQ ลูก

5 กลุ่มอาหารบำรุงสมอง บูสต์ IQ ลูกน้อยวัยอนุบาล

1. ข้าวและธัญพืช ข้าว ถือเป็นแหล่งคาร์โบไฮเดรตที่ให้พลังงานแก่ร่างกายของเด็กกำลังซนอย่างวัยอนุบาล คุณแม่ควรเลือกข้าวที่ขัดสีน้อย เพราะมีประโยชน์มากกว่าอย่าง ข้าวกล้อง ข้าวไรซ์เบอร์รี ส่วนธัญพืชที่อุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ และเป็นแหล่งของโปรตีนและใยอาหารสูง ช่วยบำรุงระบบประสาท แนะนำให้เสริมให้ลูกเป็นมื้อเช้า เช่น ขนมปังโฮลวีต ซีเรียลโฮลเกรน เป็นต้น หากลูกอยากกินขนมแนะนำให้คุณแม่เลือกเป็นถั่วชนิดต่างๆ เนื่องจากแคลอรีต่ำ เช่น ถั่วลิสง อัลมอนด์ แมคคาเดเมีย วอลนัท เป็นต้น ควรเลือกเป็นรสธรรมชาติ ไม่ปรุงแต่งรสหวาน เพื่อไม่ให้ลูกมีภาวะติดหวาน

2. ผักและผลไม้ อุดมไปด้วยวิตามินหลากหลายชนิด แร่ธาตุ และไฟเบอร์ ช่วยทั้งเรื่องการขับถ่าย เสริมภูมิคุ้มกันให้ลูกไม่ป่วยง่าย มีสารต้านอนุมูลอิสระ ทำให้ผิวแพ้ง่ายของลูกชุ่มชื้น และมีสุขภาพดีอยู่เสมอ แนะนำให้คุณแม่เลือกเป็นผักที่มีสีสันน่ากิน กลิ่นไม่ฉุนจนลูกไม่ชอบ เช่น แครอท บรอกโคลี และถั่วลันเตา สำหรับผลไม้เลือกรสหวานอมเปรี้ยวนิดๆ เช่น ส้ม ฝรั่ง แอปเปิ้ล และกีวี่ นอกจากนี้ยังควรเสริมด้วยผลไม้ตระกูลเบอร์รี ที่นอกจากจะบำรุงผิวบอบบาง ผิวแพ้ง่ายของลูกให้เปล่งปลั่งแล้ว ยังมีคุณสมบัติช่วยบำรุงสายตาให้เด็กวัยเรียน เช่น สตรอว์เบอร์รี บลูเบอร์รี ราสเบอร์รี

3. นม โยเกิร์ต ชีส เป็นกลุ่มอาหารที่มีแคลเซียมสูง เสริมสร้างความแข็งแรงให้กระดูกและฟัน มีโพรไบโอติก ที่ช่วยเรื่องระบบขับถ่าย บำรุงลำไส้ ช่วยให้ลูกสบายท้อง เมื่อเด็กอารมณ์ดี ก็พร้อมที่จะเรียนรู้ ทำแบบฝึกหัด เสริมสร้าง IQ และพร้อมที่จะทำกิจกรรมเสริมทักษะในด้านอื่นๆ แนะนำให้คุณแม่เลือกนมรสจืด โยเกิร์ตรสธรรมชาติ ให้ลูกน้อย เพื่อป้องกันไม้ให้เขาเป็นเด็กติดรสชาติหวานนะคะ

4. เนื้อสัตว์ แหล่งโปรตีนสูง ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อให้พัฒนาอย่างเต็มที่ และซ่อมแซมกล้ามเนื้อที่สึกหรอจากการทำกิจกรรม ควรเลือกเป็นเนื้อสัตว์ชนิดไม่ติดมัน หรือติดมันน้อยที่สุด เช่น ไข่ ไก่ เนื้อหมู นอกจากนี้ในกลุ่มอาหารทะเลก็ควรเสริมให้ลูกด้วย เนื่องจากเป็นแหล่งของโอเมก้า 3 ที่มีส่วนช่วยในการบำรุงระบบประสาทและสมอง เช่น ปลาแซลมอน ปลากระพง

5. ไขมัน เป็นแหล่งให้พลังงาน สร้างความอบอุ่นให้แก่ร่างกาย รวมถึงกรดไขมันก็มีความจำเป็นต่อระบบประสาท ช่วยในการละลายและดูดซึมวิตามิน แหล่งไขมันพบได้จากทั้งสัตว์และพืช คุณแม่ควรให้ลูกได้รับไขมันจากทั้งสองแหล่ง แต่เน้นไปที่ไขมันดี หลีกเลี่ยงไขมันไม่ดี เช่น ไขมันจากสัตว์ เลือกเป็นไขมันจากปลาทะเลน้ำลึก ไขมันจากพืช เลือกเป็น อะโวคาโด น้ำมันมะพร้าว น้ำมันดอกคาโนล่า เป็นต้น

EQ FQ 2 ทักษะการใช้ชีวิต ที่คุณแม่ควรเสริมให้ลูกวัยอนุบาล

  • EQ (Emotional Quotient) หรือ ความฉลาดทางอารมณ์ การมี EQ ที่ดี นอกจากลูกจะเป็นเด็กอารมณ์ดีแล้ว ทักษะนี้จะทำให้เขารู้จักควบคุมอารมณ์ มองโลกในแง่ดี รู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่น มีเหตุผล สามารถผ่านพ้น อุปสรรคต่างๆ ที่ต้องพบเจอไปด้วยการแก้ไขปัญหาอย่างมีสติ การพัฒนา EQ หรือความฉลาดทางอารมณ์ให้กับลูก แนะนำให้คุณแม่ชวนลูกทำกิจกรรม เช่น ชวนลูกพูดคุยบ่อยๆ ให้เขามีส่วนร่วมในการทำอาหาร ออกไปเที่ยว วาดภาพระบายสี ออกกำลังกาย ให้ลูกฟังเพลงและฝึกเล่นดนตรี เป็นต้น

  • FQ (Financial Quotient) หรือ ความฉลาดในการจัดการการเงิน เนื่องจากเด็กวัยอนุบาล คุณแม่ต้องเริ่มให้เงินลูกไปซื้อน้ำ ซื้อขนมที่โรงเรียน การปลูกฝังนิสัยการใช้เงินที่ดีจึงต้องเริ่มตั้งแต่ตอนนี้ คุณแม่ควรเริ่มจากการสอนให้เขาเข้าใจถึงการเก็บออม สอนให้หยอดกระปุกออมสิน เมื่ออยากได้อะไรต้องคิดก่อนว่าคุ้มค่าหรือไม่ และควรให้ลูกรู้จักเก็บเงินเพื่อซื้อของด้วยตัวเอง เพื่อให้เขารู้จักการรอคอยและเห็นถึงคุณค่าของสิ่งนั้น

พัฒนาทุกทักษะได้ไม่สะดุด คุณแม่ต้องมีตัวช่วยที่ดี

ไม่ว่าจะเรียน จะเล่น ผิวเด็กก็มักเกิดคราบเหงื่อ ความสกปรกและแบคทีเรียสะสมได้ เพื่อดูแลสุขอนามัยให้ผิวแพ้ง่ายของลูกน้อยสะอาด สุขภาพดี ห่างไกลอาการคัน ผด ผื่นแดงอยู่เสมอ แนะนำ 2 ตัวช่วยจากแคร์

  • แคร์คิดส์ เฮดทูโท เป็นทั้งครีมอาบน้ำและยาสระผมเด็ก อาบสระจบในขวดเดียว สูตรไฮโป-อัลเลอร์เจนิก ผ่านการทดสอบจากแพทย์ผิวหนังแล้วว่า ทำความสะอาดผิวแพ้ง่ายและเส้นผมของลูกอย่างอ่อนโยน ไม่ระคายเคืองดวงตา ไม่มีสารเคมี มาพร้อมกลิ่นหอมอ่อนๆ เพิ่มความสดชื่นยามอาบน้ำ

  • ผิวเด็กบอบบางกว่าที่คิด ดังนั้นหลังจากใช้ครีมอาบน้ำและยาสระผมเด็กเรียบร้อยแล้ว คุณแม่อย่าลืมเตรียม แป้งเด็กแคร์ คลาสสิค แป้งเด็กสูตรไฮโป-อัลเลอร์เจนิก ที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติสูงถึง 98% ไม่มีสารเคมี ให้ลูกทาทุกครั้งหลังอาบน้ำเสร็จ เพื่อช่วยลดความอับชื้นให้ผิวแพ้ง่ายของลูก ไม่เกิดอาการคัน ไร้ผด ผื่นแดง กวนใจให้เขาไม่สบายตัว

เห็นไหมคะว่า ไม่ว่าจะ IQ EQ หรือ FQ คุณแม่ก็ช่วยเสริมให้ลูกได้ง่ายๆ ตั้งแต่เริ่มเข้าอนุบาล เพื่อให้เขามีทักษะพร้อมทั้งเรื่องสติปัญญา ความฉลาดทางอารมณ์ และพื้นฐานการใช้ชีวิตในอนาคต คุณแม่อย่าลืมนำเคล็ดลับที่เราแนะนำไปใช้เสริมให้ลูกกันด้วยนะคะ

ข้อมูลอ้างอิง

เสริม ไอคิว-อีคิว ลูกน้อยอย่างไรดี?

 

บทความที่น่าสนใจ เพื่อการดูแลผิวลูกน้อย